แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 36
1
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งกล่องเสียง (Laryngeal cancer)

มะเร็งกล่องเสียง พบได้ประมาณร้อยละ 3 ของมะเร็งทั้งหมด พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 10 เท่า และพบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉลี่ยอายุประมาณ 60-70 ปี
 

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่

    การสูบบุหรี่ และจะพบมากขึ้นในผู้ที่ดื่มสุราร่วมด้วย
    การดื่มสุราจัด
    การติดเชื้อเอชพีวี (human papilloma virus/HPV)
    การสัมผัสสารใยหิน นิกเกิล ฝุ่นไม้ สี และสารเคมีบางชนิด (เช่น กรดกำมะถัน)
    การระคายเคืองเรื้อรังจากโรคกรดไหลย้อน
    ภาวะขาดสารอาหารซึ่งมักพบร่วมกับผู้ที่ดื่มสุราจัด
    การมีประวัติมะเร็งกล่องเสียงในครอบครัว

อาการ

มักมีอาการเสียงแหบเรื้อรังติดต่อกันนานเกิน 2-3 สัปดาห์ อาจมีอาการเจ็บคอเรื้อรัง ไอเรื้อรัง ปวดหู รู้สึกเจ็บเวลากลืนหรือกลืนลำบาก หรือสำลักร่วมด้วย

ต่อมาอาจพบมีเลือดออกปนกับเสมหะ ไอเป็นเลือด มีก้อนแข็งที่ข้างคอ น้ำหนักลด หายใจลำบากหรือหายใจมีเสียงดังฮี้ด (stridor)


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก และเกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆ ที่มะเร็งแพร่กระจายไป เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่คอ (ก้อนบวมโตที่ข้างคอ) ต่อมไทรอยด์ (คอโต คอพอก) หลอดอาหาร (กลืนลำบาก) หลอดลม (ไอ หายใจลำบาก) ปอด (เจ็บหน้าอก ไอเป็นเลือด หายใจหอบ) เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจบริเวณคอ อาจพบก้อนแข็งที่ข้างคอ (ซึ่งเป็นต่อมน้ำเหลืองโตจากมะเร็งลุกลามในระยะท้าย ๆ ของโรค) การใช้เครื่องมือส่องตรวจภายในลำคอพบเนื้องอกที่กล่องเสียง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยใช้กล้องส่องตรวจกล่องเสียง (laryngoscopy) และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

หากพบว่าเป็นมะเร็ง ก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

ถ้าเป็นระยะแรกเริ่มจะรักษาโดยการฉายรังสีเป็นหลัก หรือผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ ทำให้รักษากล่องเสียงไว้ได้ และผู้ป่วยพูดได้เป็นปกติ แต่ถ้าเป็นระยะลุกลามก็จะรักษาด้วยการผ่าตัดกล่องเสียงร่วมกับการฉายรังสี บางรายอาจให้เคมีบำบัด และ/หรือการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drugs) ร่วมด้วย

ผลการรักษา ถ้าเป็นระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดและพูดได้เป็นปกติ (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ประมาณร้อยละ 70-90)

ในรายที่เป็นระยะลุกลามไม่มากและผ่าตัดกล่องเสียง ก็มักจะมีชีวิตยืนยาว แต่พูดไม่ได้ และต้องฝึกพูดด้วยการเปล่งเสียงผ่านหลอดอาหาร (esophageal speech) หรือใช้อุปกรณ์ช่วยพูด (electrolarynx)

ในรายที่เป็นมะเร็งที่มีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 30-45)

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการเสียงแหบนานเกิน 2 สัปดาห์, มีอาการเจ็บคอ ไอ ปวดหู หรือกลืนลำบากเรื้อรัง, มีเลือดออกปนกับเสมหะ, มีก้อนแข็งที่ข้างคอ เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งกล่องเสียง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบและงานจิตอาสาเท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวดประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์และทีมสุขภาพที่ดูแล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบาย เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก ซีด มีเลือดออก ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน กินไม่ได้ หายใจลำบาก เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกล่องเสียงด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มสุรา
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารใยหิน ฝุ่นไม้
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ และได้รับสารอาหารครบถ้วนและสมดุล
    ป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี โดยการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เสรีหรือไม่ปลอดภัย รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก และปรึกษาแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี (HPV vaccine)

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการเสียงแหบเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด หากได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ ผู้ป่วยมักจะหายขาดและมีอายุยืนยาว สามารถทำงานได้ตามปกติ แต่จะพูดไม่ได้เพราะถูกตัดกล่องเสียง ผู้ป่วยสามารถฝึกพูดเพื่อสื่อสารกับผู้คนได้

2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

3. หลังการรักษาจนทุเลาดีแล้ว บางรายอาจมีมะเร็งกำเริบได้ ควรติดตามรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง

2
การรับประทานอาหารกับการจัดฟันเด็ก

การรับประทานอาหารถือเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับการดำรงชีวิต ซึ่งการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม และมีประโยชน์ ก็จะช่วยทำให้ร่างกายของเรามีสุขภาพที่แข็งแรง การรับประทานอาหารนั้น เราจะต้องใช้ช่องปากและฟันของเราเพื่อบดเคี้ยวอาหาร เพราะฉะนั้น ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเรา จึงมีความสำคัญไม่แพ้กันกับอวัยวะส่วนอื่นที่เราจะต้องดูแลเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ สุขภาพช่องปากและฟันของเราก็ยังส่งผลต่อการบดเคี้ยวอาหารด้วย เพราะถ้าเรามีลักษณะฟันที่มีการสบฟันที่ผิดปกติ ก็อาจจะทำให้การบดเคี้ยวอาหารได้ไม่ดีเท่าที่ควร หลายคนมักจะต้องเจอปัญหาดังกล่าว และยิ่งถ้าหากเรามีฟันที่ปกติแล้วการรับประทานอาหารก็ถือเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งอาจจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมของเราได้

สำหรับคนที่มีปัญหาในเรื่องของการสบฟันผิดปกติหรือรูปร่างฟัน ส่วนใหญ่ก็จะเลือกใช้วิธีการเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันเพราะจะสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงในวัยเด็กที่มีการสบฟันที่ผิดปกติก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้แล้ว ดังนั้น ในเรื่องของการรับประทานอาหารก็อาจจะส่งผลต่อการจัดฟันด้วยเช่นเดียวกันเนื่องจากในวัยเด็กมักจะมีอาหารที่ชื่นชอบ นั่นก็คือ ของหวาน ขนม ลูกอมต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กๆในวัยนี้จะชื่นชอบอาหารที่มีรสหวาน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะส่งผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันได้

เพราะการรับประทานอาหารที่หวานหรือมีน้ำตาลเป็นจำนวนมากจะส่งผลให้เด็กเกิดฟันผุได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญเสียฟันและทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันทำให้ยิ้มไม่มั่นใจ ซึ่งการรับประทานอาหารนั้น ก็ส่งผลต่อการจัดฟันของเด็กและในวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของการรับประทานอาหารกับการจัดฟันในเด็กว่าส่งผลกระทบอย่างไรบ้างและควรที่จะป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมา

สำหรับการรับประทานอาหารของเด็ก จริงๆแล้ว ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย รวมไปถึงสุขภาพช่องปากและฟันด้วยแต่ในทางกลับกันเด็กมักนิยมรับประทานอาหารของหวาน เช่น ขนม ลูกอม ซึ่งเรียกว่าเป็นอาหารประเภทที่หลายคนชื่นชอบ ซึ่งอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้เกิดฟันผุและเกิดปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟัน โดยเฉพาะเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเรื่องของการรับประทานอาหารนั้น จะต้องระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ


หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การเข้ารับการจัดฟันนั้นเราจะมีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปากและเครื่องมือเหล่านี้ก็เป็นชนิดเหล็กแบบติดแน่น ซึ่งก็สามารถหลุดออกได้หากกระทบกับของแข็ง เช่น อาหารที่มีความแข็ง ขนม ลูกอมต่างๆ เพราะฉะนั้น หลังจากติดเครื่องมือการจัดฟันแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานของท่านในเรื่องของการรับประทานอาหาร ควรเลือกอาหารให้ลูกอย่างเหมาะสม เพื่อที่จะไม่เป็นอุปสรรคในการรับประทานอาหาร

3
การเลือกของตกแต่งบ้านโทนสีเดียวให้ดูเป็นระเบียบ สบายตา น่าอยู่

การคุมโทนในการตกแต่งบ้านไม่ได้หมายถึงการใช้สีเดียวทั้งห้อง แต่เป็นการเลือกชุดสี วัสดุ และสไตล์ที่เข้ากัน เพื่อสร้างความกลมกลืนและความสบายตา

1. กำหนด "โทนสีหลัก" ของบ้าน (Color Palette)

นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการคุมโทนบ้าน

เลือกสีหลัก (60%): ใช้สำหรับผนัง เพดาน และเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ เช่น โซฟา ตู้หลัก ควรเป็น สีโทนอ่อน เช่น ขาว ครีม เบจ เทาอ่อน หรือสีพาสเทลอ่อนๆ สีเหล่านี้ช่วยให้ห้องดูกว้าง สว่าง และเป็นพื้นฐานที่ดี

เลือกสีรอง (30%): ใช้สำหรับเฟอร์นิเจอร์ขนาดกลาง เช่น ผ้าม่าน พรม โต๊ะกาแฟ เก้าอี้ทานอาหาร ควรเป็นสีที่เข้มขึ้นมาเล็กน้อย หรือเป็นสีจากวัสดุธรรมชาติ เช่น สีไม้ธรรมชาติ สีเทาเข้ม สีน้ำเงินหม่น

เลือกสีไฮไลท์ (10%): ใช้สำหรับของตกแต่งชิ้นเล็กๆ ที่ต้องการสร้างจุดเด่น เช่น หมอนอิง แจกัน กรอบรูป โคมไฟ หรือภาพวาด สีเหล่านี้อาจเป็นสีที่โดดเด่นขึ้นมา แต่ยังคงอยู่ในชุดสีที่เข้ากัน หรือเป็นสีที่ตัดกันแต่ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป

ตัวอย่างโทนสียอดนิยมที่ให้ความรู้สึกสบายตา:

โทนสีขาว-เทา-ไม้ (Minimalist/Nordic): เน้นสีขาวเป็นหลัก ตัดด้วยเทาอ่อน และเพิ่มความอบอุ่นด้วยสีไม้ธรรมชาติ

โทนสีเบจ-ครีม-น้ำตาล (Warm Neutral): ให้ความรู้สึกอบอุ่น นุ่มนวล และผ่อนคลาย

โทนสีเขียวหม่น-ขาว-ไม้ (Nature-Inspired): สื่อถึงความสดชื่น สงบ และใกล้ชิดธรรมชาติ

โทนสีเทา-น้ำเงินเข้ม-ขาว (Modern Calm): ให้ความรู้สึกสุขุม ทันสมัย และสงบ


2. เลือก "วัสดุ" ให้สอดคล้องกัน

การเลือกใช้วัสดุที่เข้ากันจะช่วยเสริมให้บ้านดูเป็นระเบียบและมีมิติ

วัสดุธรรมชาติ: ไม้ (สีอ่อน-กลาง), ผ้าฝ้าย, ผ้าลินิน, ขนสัตว์, เซรามิก, หิน, หวาย/ปอ เป็นตัวเลือกที่ดีที่ช่วยเพิ่ม Texture และความอบอุ่น

วัสดุสมัยใหม่: โลหะ (สีดำด้าน, ทองเหลือง, เงิน), กระจก, คอนกรีตขัดมัน สามารถนำมาใช้ตัดกันเพื่อเพิ่มความทันสมัย แต่ควรเลือกแบบที่มีดีไซน์เรียบง่าย


3. เน้น "ดีไซน์" ที่เรียบง่ายและฟังก์ชันการใช้งาน

เฟอร์นิเจอร์: เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มี เส้นสายสะอาดตา ไม่มีลวดลายซับซ้อน หรือมีขาโปร่ง เพื่อให้ห้องดูโปร่ง โล่ง

ของตกแต่ง: เลือกของตกแต่งที่มี รูปทรงเรขาคณิต หรือรูปทรงที่เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องมีรายละเอียดเยอะ แต่เน้นคุณภาพของวัสดุ

ฟังก์ชันการใช้งาน: เลือกของที่มีประโยชน์ใช้สอย เช่น ตะกร้าสานสำหรับเก็บผ้าห่ม, กล่องไม้สำหรับเก็บของจุกจิก, ชั้นวางของติดผนังเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย


4. เคล็ดลับการจัดวางเพื่อความเป็นระเบียบและสบายตา

Less is More (น้อยแต่มาก): ไม่จำเป็นต้องมีของตกแต่งเยอะชิ้น การมีของน้อยชิ้นแต่คุณภาพดีและจัดวางอย่างตั้งใจ จะดูดีกว่าการมีของเยอะแต่รก

จัดกลุ่มของ (Grouping): วางของตกแต่งที่มีความเกี่ยวข้องกัน (เช่น สีเดียวกัน, วัสดุเดียวกัน, หรือธีมเดียวกัน) ไว้ด้วยกันเป็นกลุ่มเล็กๆ จะดูเป็นระเบียบและน่าสนใจ

พื้นที่หายใจ (Breathing Room): เว้นพื้นที่ว่างรอบๆ เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง เพื่อให้ห้องดูโปร่ง ไม่รู้สึกอึดอัด

จัดเก็บของให้พ้นสายตา: ใช้ตู้ ชั้นวาง หรือกล่องเก็บของที่มีดีไซน์เข้ากับโทนบ้าน เพื่อซ่อนของจุกจิกที่ไม่จำเป็นต้องโชว์

แสงสว่างที่เพียงพอ: เปิดรับแสงธรรมชาติให้มากที่สุด และใช้แสงไฟ Warm White จากโคมไฟดีไซน์สวยงาม เพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น

ไอเทมของตกแต่งที่ช่วยคุมโทนและสร้างความสบายตา

พรมขนสัตว์/พรมทอ: สีอ่อนๆ วางใต้โซฟาหรือโต๊ะกาแฟ

หมอนอิง: ผ้าลินิน/ฝ้าย สีพื้น หรือมีลายกราฟิกเรียบๆ

ผ้าห่มนุ่มๆ: สีครีม/เทา/เบจ วางพาดบนโซฟา

แจกันเซรามิก/แก้วใส: รูปทรงเรียบง่าย วางคู่กับกิ่งไม้แห้ง หรือดอกไม้ไม่กี่ดอก

เทียนหอม/ก้านไม้หอม: กลิ่นผ่อนคลาย ในภาชนะดีไซน์มินิมอล

ต้นไม้ในร่ม: เช่น ลิ้นมังกร, มอนสเตอร่า ในกระถางเซรามิกสีขาว/เทา

ภาพพิมพ์/โปสเตอร์: ลายเส้น (Line Art) หรือ Abstract Art ในโทนสีอ่อน ใส่กรอบไม้/โลหะบางๆ

ตะกร้าสาน/หวาย: สำหรับเก็บของใช้ต่างๆ ให้เป็นระเบียบ

การคุมโทนในการตกแต่งบ้านจะช่วยให้บ้านของคุณไม่เพียงแต่ดูสวยงามและเป็นระเบียบ แต่ยังสะท้อนรสนิยมของคุณ และสร้างบรรยากาศที่น่าอยู่และผ่อนคลายได้อย่างแท้จริงครับ

4
การจัดฟันเด็ก ลดโอกาสการเกิดฟันล้มได้หรือไม่

ปัญหาฟันล้ม เป็นการเคลื่อนที่ของฟันที่ล้มหรือเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งเพื่อหาความสมดุลหรือเพื่อยึดเกาะฟันซี่ที่อยู่ข้างเคียงหรือที่เราเรียกกันว่าฟันเกนั่นเอง มักจะพบได้ในฟันซี่ที่อยู่ใกล้ ๆ ฟันที่ถูกถอนออกไปจนเกิดช่องว่างระหว่างฟันและไม่มีฟันมาทดแทน ซึ่งโดยปกติแล้วฟันของเรานั้น มีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และอาการฟันล้มแหล่านี้จะทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น การบดเคี้ยวอาหารไม่ลงตามแนวแกนของฟัน เกิดปัญหาการสบกระแทกของฟัน หรือลามไปจนถึงอาจก่อให้เกิดโรคปริทันต์ตามมาได้ ซึ่งปัญหาฟันล้มนั้น สามารถเกิดขึ้นในเด็กได้เช่นเดียวกัน

หากเด็กมีอาการฟันผุและเกิดสูญเสียฟันไป ไม่ว่าจะเป็นในช่วงของฟันน้ำนมหรือฟันแท้ ก็ทำให้เกิดฟันล้มได้ เพราะฉะนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กให้ดี หรือควรที่จะสอนให้เด็กแปรงฟันอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาเกี่ยวกับฟันของเด็กได้ เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตามมา

ซึ่งปัญหาฟันล้มในเด็กนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะถ้าเมื่อไหร่เด็กเกิดช่องว่างจากการถอนฟันไปก่อนวัยอันควร ในเด็กที่อายุยังไม่ถึง 12 ปี หรือในเด็กที่ฟันกรามน้อยยังไม่ขึ้น ทันตแพทย์จะแนะนำให้ใส่เครื่องมือกันฟันล้ม หรือเครื่องมือกันที่ การใส่ก็ไม่ยุ่งยากและไม่เจ็บ โดยในครั้งแรกทันตแพทย์จะลองแบนด์ ซึ่งมีลักษณะเหมือนแหวนสวมไปที่ฟันที่จะใช้เป็นหลักเพื่อหาขนาดที่พอดีกับฟันซี่นั้นๆก่อน

จากนั้นจึงพิมพ์ปากเพื่อจำลองแบบในปากออกมาใช้ในการทำเครื่องมืออีกที แต่การเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถป้องกันการเกิดฟันล้มได้เช่นเดียวกัน เพราะถือว่าการจัดฟันเป็นการรักษาที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นฟันล้ม ฟันเอียง ฟันเคลื่อนหรือฟันเก เป็นต้น เพราะการจัดฟันเป็นการใช้เหล็กหรือลวดดึงฟันให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือตำแหน่งเดิม ซึ่งการจัดฟันก็สามรถจัดได้หลายวิธีเลย แต่การจัดฟันในเด็กที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันล้มในเด็ก ก็มีอยู่ 2 วิธีหลักๆ คือการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบ EF Line และการจัดฟันแบบใส่เหล็กจัดฟัน การสวมใส่เครื่องมือ EF Line นั้น สามารถแก้ไขปัญหาฟันล่างสบคร่อมฟันบน ถ้าไม่ทำการรักษาจะทำให้ขากรรไกรเจริญผิดปกติ เช่น ขากรรไกรบนถูกจำกัดการเจริญเติบโตในขณะที่ขากรรไกรล่างเติบโตได้ ทำให้เกิดลักษณะใบหน้าเว้า และอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่ข้อต่อขากรรไกรได้ ซึ่งอาจจะส่งผลตอการขึ้นของฟันแท้ด้วย

และการจัดฟันในเด็กโดยการจัดฟันแบบสวมใส่เหล็กจัดฟัน ก็สามารถแก้ไขปัญหาฟันล้มได้อย่าง 100 % เพราะเครื่องมือการจัดฟัน จะทำให้ฟันเคลื่อนไปยังตำแหน่งที่ถูกต้องได้ ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก ก็สามารถแก้ไขปัญหาฟันล้มในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรหมั่นดูแลความสะอาดของสุขภาพฟันของเด็กให้มากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันปัญหาภายในช่องปากเบื้องต้นที่เราย่อมรู้กันดี เพราะการดูแลความสะอาดถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ สามรถตัดปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมาได้ เช่น ฟันผุจนต้องถอนฟันและนำมาซึ่งปัญหาของฟันล้ม ฟันเอียงได้นั่นเอง


หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถพาเด็กๆเข้ามาปรึกษากับทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ เพราะเรามีทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ยินดีให้คำปรึกษาทั้งเรื่องปัญหาฟันของเด็กและวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันให้เด็ก เพื่อที่เด็กจะได้มีความเข้าใจในการดูแลรักษาความสะอาดฟัน และจะได้มีฟันที่แข็งแรง มีรอยยิ้มที่สดใสมั่นใจตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

5
จุดพื้นที่สำคัญที่ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนในโรงงาน

จากการวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ "จุดพื้นที่สำคัญที่ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนในโรงงาน" และข้อมูลที่ผมมี ผมสามารถให้ข้อมูลได้ดังนี้ครับ:

การติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ในโรงงานอุตสาหกรรม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการอุณหภูมิภายในอาคาร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุนพลังงาน และสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับบุคลากร การเลือก "จุดพื้นที่สำคัญ" ในการติดตั้งฉนวนจะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงสุดและแก้ไขปัญหาความร้อนได้อย่างตรงจุด

นี่คือจุดพื้นที่สำคัญที่ควรพิจารณาติดตั้งฉนวนกันความร้อนในโรงงาน:

1. หลังคา (Roof)
ความสำคัญสูงสุด: หลังคาเป็นส่วนที่รับแสงแดดโดยตรงและตลอดทั้งวันมากที่สุดในโรงงาน โดยเฉพาะหลังคาประเภทเมทัลชีทหรือแผ่นเหล็ก ซึ่งสามารถดูดซับความร้อนและแผ่รังสีลงสู่ภายในอาคารได้อย่างมหาศาล ทำให้เกิดภาวะ "เรือนกระจก" ขนาดใหญ่

ปัญหาที่พบหากไม่มีฉนวน: อุณหภูมิภายในโรงงานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พนักงานร้อนจัด ระบบระบายอากาศทำงานหนัก เครื่องจักรโอเวอร์ฮีท สินค้าเสียหาย

ประเภทฉนวนที่แนะนำ:

ฉนวนใยแก้ว (Fiberglass Insulation): นิยมใช้บุใต้แผ่นเมทัลชีท หรือเป็นฉนวนในระบบ Sandwich Panel มักมีแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์เคลือบเพื่อสะท้อนความร้อน

ฉนวนพียูโฟม (Polyurethane Foam - PU Foam): สามารถพ่นเคลือบบน/ใต้หลังคาได้โดยตรงแบบไร้รอยต่อ มีค่าการนำความร้อนต่ำที่สุดและป้องกันการรั่วซึมได้ดี

แผ่นสะท้อนความร้อน (Radiant Barrier): ใช้ติดตั้งใต้หลังคาเพื่อสะท้อนรังสีความร้อนออกไป ก่อนที่ความร้อนจะส่งผ่านเข้าสู่โครงสร้างหลัก

2. ผนัง (Walls)
ความสำคัญ: ผนังโรงงาน โดยเฉพาะผนังด้านที่รับแสงแดดโดยตรงในช่วงบ่าย หรือผนังที่ติดกับแหล่งกำเนิดความร้อนภายนอก สามารถถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ภายในได้เช่นกัน

ปัญหาที่พบหากไม่มีฉนวน: ความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายใน ทำให้พื้นที่ใกล้ผนังร้อน อุณหภูมิโดยรวมของโรงงานสูงขึ้น

ประเภทฉนวนที่แนะนำ:

ฉนวนใยแก้ว (Fiberglass Insulation): บุผนัง หรือใช้เป็นแกนกลางในระบบผนังสำเร็จรูป (Sandwich Wall Panel)

ฉนวนใยหิน (Mineral Wool): สำหรับผนังที่ต้องการการกันความร้อนและเสียงเป็นพิเศษ หรือผนังติดแหล่งกำเนิดความร้อนสูง

ฉนวนพียูโฟม (PU Foam): ทั้งแบบแผ่นสำเร็จรูป หรือแบบพ่น สามารถใช้กับผนังโรงงานได้ดีเยี่ยม

3. ท่อและถังเก็บสารที่มีอุณหภูมิสูง/ต่ำ (High/Low Temperature Pipes & Tanks)
ความสำคัญ: ในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง มีระบบท่อไอน้ำ ท่อส่งลมร้อน/ลมเย็น หรือถังเก็บสารเคมีที่มีอุณหภูมิสูงมาก หรือต่ำมาก การไม่ติดตั้งฉนวนจะทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานมหาศาล

ปัญหาที่พบหากไม่มีฉนวน:

สูญเสียพลังงาน: ความร้อนรั่วไหลจากท่อร้อน หรือความเย็นรั่วไหลจากท่อเย็น ทำให้ระบบต้องทำงานหนักขึ้น สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง/ไฟฟ้า

อันตรายต่อพนักงาน: พื้นผิวท่อที่ร้อนจัดอาจทำให้เกิดแผลไหม้หากสัมผัสโดน

ปัญหาการควบแน่น: ท่อเย็นไม่มีฉนวนจะเกิดหยดน้ำเกาะ ทำให้เกิดสนิม เชื้อรา และความเสียหายต่อพื้นที่โดยรอบ

ประเภทฉนวนที่แนะนำ:

งานทนอุณหภูมิสูง:

ฉนวนใยหิน (Mineral Wool): สำหรับท่อไอน้ำ ท่อลมร้อน อุณหภูมิสูงปานกลางถึงสูงมาก

ฉนวนแคลเซียมซิลิเกต (Calcium Silicate): สำหรับท่อและถังที่ต้องการความแข็งแรง ทนทาน และทนความร้อนสูง

ฉนวนเซรามิกไฟเบอร์ (Ceramic Fiber): สำหรับงานที่อุณหภูมิสูงจัดพิเศษ เช่น เตาเผา เตาหลอม

งานอุณหภูมิต่ำ/ระบบปรับอากาศ:

ฉนวนยางสังเคราะห์ (Elastomeric Rubber Insulation / NBR Foam): สำหรับท่อน้ำเย็น ท่อสารทำความเย็น ป้องกันการควบแน่นได้ดีเยี่ยม ยืดหยุ่นสูง

ฉนวนใยแก้ว (Fiberglass Insulation): สำหรับท่อลมเย็นขนาดใหญ่ หรือถังน้ำเย็น

ฉนวนพียูโฟม (PU Foam): สำหรับห้องเย็น ถังเก็บความเย็น หรือท่อที่มีขนาดใหญ่มาก

4. เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สร้างความร้อน (Heat-Generating Machinery & Equipment)
ความสำคัญ: เครื่องจักรบางประเภท เช่น เตาอบ เตาหลอม คอมเพรสเซอร์ หรือหม้อไอน้ำ สร้างความร้อนจำนวนมากที่แผ่ออกมาสู่พื้นที่ทำงาน

ปัญหาที่พบหากไม่มีฉนวน: อุณหภูมิโดยรอบเครื่องจักรสูงมาก เป็นอันตรายต่อพนักงาน ทำให้เครื่องจักรโอเวอร์ฮีท สิ้นเปลืองพลังงาน

ประเภทฉนวนที่แนะนำ:

ฉนวนใยหิน (Mineral Wool): สำหรับบุผนังเครื่องจักร เตาอบ

ฉนวนเซรามิกไฟเบอร์ (Ceramic Fiber): สำหรับเตาหลอม อุปกรณ์ที่อุณหภูมิสูงจัด

ฉนวนแคลเซียมซิลิเกต (Calcium Silicate): สำหรับหุ้มตัวถังที่แข็งแรง

5. ห้องเย็น/คลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (Cold Rooms / Temperature-Controlled Warehouses)
ความสำคัญ: เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่ตามที่กำหนด สำหรับจัดเก็บสินค้าหรือวัตถุดิบที่ไวต่ออุณหภูมิ

ปัญหาที่พบหากไม่มีฉนวน: สูญเสียความเย็นมหาศาล สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าอย่างมาก สินค้าเสียหาย

ประเภทฉนวนที่แนะนำ:

ฉนวนพียูโฟม (PU Foam): นิยมใช้เป็นผนังสำเร็จรูป (Sandwich Panel) หรือพ่นเพื่อสร้างห้องเย็นโดยเฉพาะ มีค่า R-value สูงสุด

ฉนวน EPS Foam (Expanded Polystyrene Foam): นิยมใช้ใน Sandwich Panel สำหรับห้องเย็นที่ไม่ต้องการอุณหภูมิต่ำมากนัก และมีราคาประหยัด

การประเมินและเลือกติดตั้งฉนวนกันความร้อนในจุดสำคัญเหล่านี้ จะช่วยให้โรงงานสามารถจัดการกับปัญหาความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่าย และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนค่ะ

6
บริการทำความสะอาด: ฝุ่นเกิดจากอะไร? แนะนำวิธีป้องกันฝุ่นเข้าบ้าน

ในชีวิตประจำวันของคนเรา ฝุ่นเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะฝุ่นที่สะสมอยู่ในบ้าน เพราะเป็นที่อยู่อาศัยของสมาชิกในครอบครัว สำหรับบทความนี้จะพามาไขข้อสงสัยว่า ฝุ่นเกิดจากอะไร? พร้อมแนะนำวิธีป้องกันฝุ่นเข้าบ้าน ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยที่ดี เพื่อสุขอนามัยที่ดีของคนในบ้าน

ฝุ่นเกิดจากอะไร?

ฝุ่นเป็นอนุภาคของแข็ง หรือละอองของเหลวในอากาศที่มีขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน ซึ่งเกิดได้เองตามธรรมชาติ และเกิดจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ อาทิ ไฟป่า ภูเขาไฟระเบิด โรงโม่หิน การเผาไหม้เชื้อเพลิง และอื่นๆ โดยสามารถแบ่งกลุ่มได้ 2 ประเภท คือ

1. ฝุ่น PM10

ฝุ่นที่ขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน สามารถเดินทางเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนบนของมนุษย์ได้ ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองจมูก คอ และดวงตา โดยมักเกิดจากดินและทราย ละอองน้ำทะเล การก่อสร้าง เหมืองแร่ และการเกษตร เป็นต้น

2. ฝุ่น PM2.5

ฝุ่นที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน สามารถเดินทางเข้าสู่ระบบหายใจและกระแสเลือดได้ ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพร้ายแรงกว่าฝุ่น PM10 แล้วฝุ่น PM2.5 เกิดจากอะไร? คำตอบ คือ การเผาไหม้ของยานพาหนะเครื่องยนต์สันดาป การเผาขยะ โรงงานอุตสาหกรรม การกระจายตัวของเกสรดอกไม้ และอื่นๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละพื้นที่

ยกตัวอย่างสาเหตุของฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย ดังนี้

ภาคเหนือ: ฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือมีสาเหตุหลักมาจากไฟป่า และการลักลอบเผาขยะทางการเกษตรในที่โล่ง เมื่อผสานกับลักษณะภูมิประเทศของภาคเหนือที่เป็นแอ่งกระทะ และล้อมรอบด้วยภูเขา ส่งผลให้เกิดสภาวะอากาศปิด และมีฝุ่นสะสมในอากาศมาก โดยเฉพาะช่วงหน้าแล้งที่อากาศแห้ง และมีความกดอากาศสูง

กรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองหลักในภูมิภาคต่างๆ: ฝุ่น PM2.5 ในกลุ่มพื้นที่นี้มีสาเหตุมาจากการเผาไหม้ของยานพาหนะเครื่องยนต์สันดาป ซึ่งเป็นการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้มีฝุ่น PM2.5 และมลภาวะต่างๆ อยู่ในอากาศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงที่การจราจรแน่นขนัด

ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น PM2.5 หรือ PM10 ต่างส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ หอบหืด ความดันสูง และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งฝุ่นเป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้อาการของโรคกำเริบ

ฝุ่นเกิดจากอะไร ในห้อง?

ฝุ่นในบ้าน หรือฝุ่นในห้องเกิดจากการที่ฝุ่นเข้ามาในตัวบ้านผ่านประตู หน้าต่าง และช่องว่างต่างๆ โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ใกล้กับไซต์ก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม หรือถนนใหญ่ เมื่อฝุ่นเข้ามาในบ้าน และไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม ฝุ่นเหล่านี้จะสะสมอยู่บนเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ

แนะนำวิธีป้องกันฝุ่นเข้าบ้าน

การป้องกันฝุ่นเข้าบ้านเป็นวิธีเบื้องต้นที่ช่วยลดโอกาสฝุ่นสะสมในบ้านได้เป็นอย่างดี โดยมีหลากหลายวิธี ดังนี้

1. ติดตั้งมุ้งลวดที่ประตูและหน้าต่าง

มุ้งลวดจะช่วยป้องกันฝุ่นที่มีอนุภาคขนาดใหญ่ และแมลงต่างๆ เข้ามาในบ้าน โดยไม่จำเป็นต้องปิดประตู และหน้าต่างตลอดเวลา ส่งผลให้ยังเปิดรับแสงธรรมชาติได้ในเวลากลางวัน

2. ปลูกต้นไม้รอบบ้าน

ต้นไม้สามารถดัก และลดปริมาณฝุ่นจากภายนอกเข้ามาในตัวบ้านได้ นอกจากนี้ ต้นไม้ยังช่วยเพิ่มปริมาณก๊าซออกซิเจนรอบตัวบ้านในเวลากลางวัน และทำให้บ้านดูร่มรื่นมากขึ้นได้ด้วยเช่นกัน

3. ถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน

โดยปกติรองเท้าจะมีฝุ่น และสิ่งสกปรกจากภายนอกสะสมอยู่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวการที่นำฝุ่นเข้ามาในบ้าน

4. เลี่ยงการตากผ้าในที่ฝุ่นเยอะ

การตากผ้าในที่ฝุ่นเยอะจะทำให้ผ้าดูดซับฝุ่น เมื่อนำผ้ากลับเข้ามาในบ้าน ฝุ่นละอองดังกล่าวจะติดเข้ามาในตัวบ้านด้วย

5. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ

เครื่องฟอกอากาศจะทำหน้าที่กำจัดฝุ่น และสิ่งสกปรกต่างๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ โดยเครื่องฟอกอากาศหลายรุ่นสามารถช่วยกำจัดฝุ่น PM 2.5 ได้

นอกจากการป้องกันฝุ่นเข้าบ้านแล้ว การทำความสะอาดบ้านเป็นประจำเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บ้านปลอดฝุ่น ตั้งแต่การทำความสะอาดฝ้า พื้น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ ทั้งนี้ การทำความสะอาดบ้านอย่างเอี่ยมอ่องต้องอาศัยทั้งแรงกายและเวลา โดยผู้ที่ไม่สะดวกทำความสะอาดบ้านด้วยตนเองสามารถเลือกใช้บริการทำความสะอาดจากมืออาชีพแทนได้

7
หมอออนไลน์: ผมร่วงเนื่องจากผมหยุดเจริญชั่วคราว

ปกติเส้นผมของคนเรามีอายุนาน 2-6 ปี แล้วจะหยุดการเจริญงอกงาม ในแต่ละวันจะมีเส้นผมประมาณ 100 เส้นที่เสื่อมและหลุดร่วงไป

แต่ในบางภาวะ เส้นผมที่กำลังเจริญอาจหยุดการเจริญในทันที ทำให้มีเส้นผมเสื่อมและหลุดร่วงเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติ ดังนั้นจึงทำให้เกิดอาการผมร่วงมากกว่าปกติได้

สาเหตุ

สาเหตุที่ทำให้ผมหยุดการเจริญชั่วคราวที่พบได้บ่อย เช่น

    ผู้หญิงหลังคลอด ผมมักร่วงหลังคลอดประมาณ 3 เดือน (ชาวบ้านเชื่อว่า เป็นเพราะลูกจำหน้าแม่ได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง) เนื่องจากขณะคลอดเส้นผมบางส่วนเกิดหยุดการเจริญในทันที ต่อมาอีก 2-3 เดือน ผมเหล่านี้ก็จะร่วง
    ทารกแรกเกิดอาจมีอาการผมร่วงในระยะ 1-2 เดือนแรก แล้วจะค่อย ๆ มีผมงอกขึ้นใหม่
    เป็นไข้สูง เช่น ไข้รากสาดน้อย ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ เป็นต้น จะมีอาการผมร่วง (หัวโกร๋น) หลังเป็นไข้ ประมาณ 2-3 เดือน
    ได้รับการผ่าตัดใหญ่
    เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น วัณโรค เบาหวาน โลหิตจาง ขาดอาหาร เป็นต้น
    การเสียเลือด การบริจาคเลือด
    การใช้ยา เช่น ยาคุมกำเนิด อัลโลพูรินอล โพรพิลไทโอยูราซิล เฮพาริน เป็นต้น
    ภาวะเครียดทางจิตใจ เช่น ตกใจ เสียใจ เศร้าใจ

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการผมร่วงมากผิดปกติ (มากกว่าวันละ 100 เส้น) ลักษณะร่วงทั่วศีรษะ ซึ่งมักจะมีอาการตามหลังสาเหตุเหล่านี้ประมาณ 2-3 เดือน และอาจจะเป็นอยู่นาน 2-6 เดือน ก็จะหายได้เองอย่างสมบูรณ์

ภาวะแทรกซ้อน

ขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้ผมร่วง ถ้าเกิดจากการเจ็บป่วยเรื้อรัง (เช่น วัณโรค เบาหวาน โลหิตจาง ขาดอาหาร) ก็จะมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเหล่านี้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจหาสาเหตุ ซึ่งอาจจำเป็นต้องทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

ถ้ามีสาเหตุชัดเจน (เช่น หลังคลอด หลังผ่าตัด จิตใจเครียด) ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด ควรอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ และรอให้ผมงอกขึ้นใหม่

ถ้าไม่แน่ใจ แพทย์จะทำการตรวจสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

การดูแลตนเอง

หากมีอาการผมร่วงมากกว่าปกติ หรือสงสัยอาจเกิดจากโรคบางอย่าง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเกิดจากการเจ็บป่วย ก็ควรรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

การป้องกัน

ขึ้นกับสาเหตุ ถ้าเกิดจากความเครียดทางจิตใจ หรือการเจ็บป่วยเรื้อรัง (เช่น วัณโรค เบาหวาน โลหิตจาง ขาดอาหาร) ก็จะหาทางป้องกันสาเหตุเหล่านี้

8
วิธีสร้างอาชีพเสริม จากอาหารไทยยอดนิยม คู่มือสู่ธุรกิจที่ทำกำไร

การสร้างอาชีพเสริมจากอาหารไทยยอดนิยมเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้เพิ่มเติม เนื่องจากอาหารไทยเป็นที่รู้จักและชื่นชอบทั้งในและต่างประเทศ ต่อไปนี้เป็นคู่มือสู่ธุรกิจอาหารไทยที่ทำกำไรได้:

1. เลือกเมนูที่ใช่:

เมนูยอดนิยม:
ศึกษาเมนูอาหารไทยยอดนิยมในพื้นที่ของคุณ เช่น ผัดไทย ต้มยำกุ้ง ข้าวผัด หรือส้มตำ
เลือกเมนูที่คุณถนัดและมีความเชี่ยวชาญ

เมนูสร้างสรรค์:
คิดค้นเมนูอาหารไทยที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณเอง
ผสมผสานรสชาติและวัตถุดิบที่แตกต่าง เพื่อสร้างความน่าสนใจ
เช่น ผัดไทยเส้นจันทร์มันกุ้งแม่น้ำ หรือต้มยำทะเลรวมมิตร

2. วัตถุดิบคุณภาพ รสชาติโดนใจ:

วัตถุดิบสดใหม่:
เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีและสดใหม่
จะช่วยให้รสชาติอาหารอร่อยและถูกปากลูกค้า

สูตรลับเฉพาะ:
ปรับปรุงสูตรอาหารให้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
สร้างความแตกต่างจากร้านอาหารไทยอื่นๆ

ความสะอาด:
รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร
สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

3. ทำเลทอง:

แหล่งชุมชน:
เลือกทำเลที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ตลาดนัด ถนนคนเดิน หรือหน้าโรงเรียน
จะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย

งานอีเว้นท์:
เข้าร่วมงานอีเว้นท์ต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย
เช่น งานเทศกาลอาหาร หรือคอนเสิร์ต

เดลิเวอรี่:
ขายอาหารผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย
และเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น

4. การตลาดออนไลน์:

โซเชียลมีเดีย:
สร้างเพจหรือบัญชีบนโซเชียลมีเดีย เพื่อโปรโมทร้านค้า
ใช้รูปภาพและวิดีโอที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดลูกค้า

รีวิวและคะแนน:
ให้ความสำคัญกับรีวิวและคะแนนจากลูกค้า
ตอบคำถามและแก้ไขปัญหาของลูกค้าอย่างรวดเร็ว

5. บริการประทับใจ:

ยิ้มแย้มแจ่มใส:
สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและเป็นมิตร
จะช่วยให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาซื้ออีก

ใส่ใจลูกค้า:
รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้า
ปรับปรุงสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างเรื่องราว: เล่าเรื่องราวของร้านค้าของคุณ เพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้า
สร้างความแตกต่าง: สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการนำเสนอสินค้าและบริการที่ไม่เหมือนใคร
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ

ตัวอย่างเมนูอาหารไทยที่น่าสนใจ:

ผัดไทย
ต้มยำกุ้ง
ข้าวผัด
ส้มตำ
แกงเขียวหวาน
ข้าวมันไก่
ไก่ย่าง
หมูปิ้ง
ลูกชิ้นทอด
ขนมจีนน้ำยา

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทยอาจต้องใช้ความอดทนและการปรับตัว แต่ด้วยการวางแผนที่ดีและใส่ใจในคุณภาพ คุณก็สามารถสร้างรายได้เสริมที่มั่นคงได้

9
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


10
โพสประกาศขายฟรี / เรื่อง “โรคหัวใจ” ทำไมต้องรู้
« เมื่อ: วันที่ 15 กรกฎาคม 2025, 19:24:12 น. »
เรื่อง “โรคหัวใจ” ทำไมต้องรู้

โรคหัวใจ (Heart Disease) คือโรคต่างๆ ที่เกิดกับหัวใจ ซึ่งส่งผลให้การทำงานของหัวใจผิดปกติไป โดยทั่วไปแล้วเมื่อเราพูดถึงโรคหัวใจ หลายคนก็มักคิดถึง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือ ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นอันดับแรกๆ เพราะเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดในบรรดาโรคหัวใจ ทั้งในแต่ละปียังมีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจกว่า 40,000 คนเลยทีเดียว

และนอกจากโรคหลอดเลือดหัวใจที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีแล้ว โรคหัวใจยังแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่มโรค เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น

เพราะไลฟ์สไตล์เกี่ยวข้องกับ “สุขภาพหัวใจ” โดยตรง

ในอดีตโรคหลอดเลือดหัวใจมักเกิดในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันเราพบว่าหนุ่มสาววัยทำงานนั้นมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารตามสั่งที่มักมีไขมันสูง การทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และติดการใช้โทรศัพท์มือถือ ทำให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ขาดการออกกำลังกาย ทั้งยังมีเรื่องของความเครียด การพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพ ยิ่งหากใครที่สูบบุหรี่หรือชอบปาร์ตี้ดื่มเหล้าด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้นไปอีก

ส่วนปัจจัยที่นอกเหนือจากพฤติกรรมก็มีอยู่บ้าง เช่น เรื่องของโรคประจำตัวและพันธุกรรม ซึ่งหากใครมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือแม้แต่ตนเองเป็นโรคเบาหวาน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่นกัน

สัญญาณเตือน “โรคหัวใจ” หรือ “หลอดเลือดหัวใจตีบ” ที่ต้องสังเกต

    เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง เดินเร็วๆ หรือออกกําลังกาย
    หายใจเข้าลำบาก อาจจะเป็นตลอดเวลา เป็นขณะออกกำลังกาย ตอนใช้แรงมากๆ หรือเป็นเฉพาะในเวลากลางคืนขณะพักผ่อน
    เจ็บหน้าอกหรือแน่นบริเวณกลางอก เจ็บหน้าอกด้านซ้ายบริเวณหัวใจหรือทั้ง 2 ข้างจนไม่สามารถนอนราบได้ตามปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจและอึดอัดตรงหน้าอก
    หายใจหอบ จนบางครั้งต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึก
    เป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ
    ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีสีเขียวคล้ำ

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “โรคหัวใจ” แล้วหรือยัง?

การจะรู้ว่าเป็นโรคหัวใจหรือเปล่านั้น จะต้องเข้ารับการตรวจด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้ประกอบกันตามความจำเป็น เช่น

    ซักประวัติ สอบถามอาการและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่น่าสงสัย
    ตรวจร่างกายในทุกระบบที่เกี่ยวข้อง ฟังการเต้นของหัวใจ ตรวจระดับไขมันและหินปูนในหลอดเลือด
    ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) โดยใช้สื่อนำคลื่นไฟฟ้าขนาดเล็กมาติดตามที่หน้าอก แขนและขา โดยคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะแสดงออกมาเป็นกราฟ ซึ่งแพทย์จะอ่านผลและวินิจฉัยความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้
    ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST) คือการให้ผู้เข้ารับการตรวจเดินหรือวิ่งบนสายพานเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ผลจะแสดงออกมาเป็นกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
    ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography) สำหรับผู้ที่ไม่พร้อมทดสอบด้วยการวิ่งบนสายพาน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาด้านการเดิน เป็นการตรวจเพื่อดูกายวิภาคของหัวใจ ความหนาของผนังหัวใจ การเคลื่อนที่และการบีบตัว ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคหัวใจได้เกือบทุกประเภท
    ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (CT Coronary Artery) เพื่อวิเคราะห์หาเส้นเลือดที่ตีบ-ตัน หรือความผิดปกติอื่นๆ ของหลอดเลือดหัวใจ เพราะการมีไขมันไปเกาะหลอดเลือดแดงนับเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจวายเฉียบพลันจากการมีเส้นเลือดอุดตันได้ นอกจากนี้ยังทำให้เห็นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ด้วย
    หากตรวจแล้วพบข้อสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ การตรวจที่จะบอกได้แน่ชัดที่สุดว่ามีการตีบหรือใกล้ตันในจุดใด คือ การฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดหัวใจ ที่เรียกว่าการสวนหลอดเลือดหัวใจ นั่นเอง

ไม่อยากเป็นโรคหัวใจ…ต้องเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจัง

เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง ดังนั้นเราควรปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้

    เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม ไม่หวาน ไม่มัน ไม่เค็มจนเกินไป กินผัก ผลไม้ที่มีกากใยให้มากขึ้น โดยเลือกชนิดที่น้ำตาลไม่สูง
    ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจ ช่วยลดไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ในหลอดเลือด
    ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพราะการมีน้ำหนักตัวมากเกินไปเป็นปัจจัยสำคัญในเกิดโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหัวใจ เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
    งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติดต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความเสี่ยง
    ทำจิตใจให้แจ่มใส หากรู้ตัวว่ามีความเครียดควรรีบหาวิธีกำจัดอย่างเหมาะสม
    พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
    เลือกตรวจสุขภาพประจำปีให้เหมาะสมตามช่วงวัยและความเสี่ยง

11
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


12
หมอประจำบ้าน: ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ (Spinal cord injury)

การบาดเจ็บที่บริเวณคอหรือหลัง อาจทำให้ประสาทไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นเหตุให้เกิดอาการอัมพาตของแขนขาทั้ง 4 ข้าง (quadriplegia) หรือขา 2 ข้าง (paraplegia) ส่วนใหญ่พบเป็นภาวะแทรกซ้อนของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจร และการตกจากที่สูง มักพบในผู้ชายอายุ 15-35 ปี

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุร้ายแรง ได้แก่ รถชน รถคว่ำ ตกจากที่สูง ถูกของหนักหล่นทับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการถูกยิง ถูกแทงเข้าไขสันหลัง ทำให้ประสาทไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือน ฟกช้ำ เลือดออกหรือฉีกขาด ทำให้เกิดอาการอัมพาตของแขนขา 2 ข้างทันที

อาการ

ถ้าบาดเจ็บตรงระดับเอว ขาทั้ง 2 ข้างมักจะชา กระดุกกระดิกไม่ได้ ถ่ายปัสสาวะและอุจจาระเองไม่ได้ อวัยวะเพศทำงานไม่ได้ เช่น องคชาตไม่แข็งตัว

ถ้าบาดเจ็บตรงระดับคอ จะมีอาการอัมพาตของแขนทั้ง 2 ข้างร่วมกับขาทั้ง 2 ข้าง และถ้ากระทบกระเทือนถูกส่วนที่ควบคุมการหายใจ ผู้ป่วยจะหายใจไม่ได้ และถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออาจเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

โดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะมีความรู้สึกตัวดีเหมือนคนปกติ


ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตนาน ๆ อาจมีแผลกดทับ (bed sores) หรืออาจเป็นโรคติดเชื้อ (เช่น ปอดอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ) ได้ง่าย

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งจะตรวจพบขา 2 ข้าง หรือแขนขาทั้ง 4 ข้างเป็นอัมพาตและชา (ไม่รู้สึกเจ็บเวลาถูกเข็มจิ้ม)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์กระดูกสันหลัง ถ่ายภาพไขสันหลังด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ถ่ายภาพรังสีไขสันหลังโดยการฉีดสารทึบรังสี (myelography) เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการและการรักษาแบบประคับประคอง เช่น ถ้ากินอาหารไม่ได้ ให้น้ำเกลือ หรือให้อาหารทางสายยางหรือทางหลอดเลือดดำ, ถ้าหายใจไม่ได้ ใช้เครื่องช่วยหายใจ, ถ้าปัสสาวะไม่ได้ ใส่สายสวนปัสสาวะ เป็นต้น

แพทย์จะให้สเตียรอยด์ฉีดเข้าหลอดเลือดดำเพื่อลดอาการบวม ช่วยให้ฟื้นตัวดีขึ้น ถ้าจะให้ได้ผลดีต้องให้ภายใน 8 ชั่วโมงหลังบาดเจ็บ และให้ติดต่อกันนาน 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ จะทำการรักษาโดยใช้น้ำหนักดึงถ่วง (traction) ให้ข้อกระดูกที่เคลื่อนเข้าที่ หรือป้องกันไม่ให้ข้อกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือกดทับไขสันหลัง บางรายอาจต้องทำการผ่าตัดสันหลัง เพื่อแก้ไขความผิดปกติและทำการเชื่อมต่อข้อกระดูกสันหลัง

ผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลอยู่นาน หลังจากนั้นแพทย์จะทำการฟื้นฟูสภาพด้วยกายภาพบำบัด และใช้อุปกรณ์หรือรถเข็นช่วยในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้าไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือนหรือบาดเจ็บไม่มาก ก็มีโอกาสฟื้นคืนความแข็งแรงได้ โดยสังเกตว่า ถ้าผู้ป่วยสามารถขยับแขนขาและมีความรู้สึกเจ็บกลับคืนมาภายใน 1 สัปดาห์ก็อาจมีทางหายได้

แต่ถ้าประสาทไขสันหลังถูกทำลาย อาการอัมพาตก็มักจะเป็นอย่างถาวร โดยที่อาการจะไม่ดีขึ้นเลยภายหลังบาดเจ็บ 6 เดือนไปแล้ว

ในรายที่มีการบาดเจ็บตรงคอ ซึ่งมีอาการอัมพาตหมดทั้งแขนขา 4 ข้าง และไม่สามารถหายใจได้เอง หากเป็นอัมพาตอย่างถาวร ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจประทังชีวิต ผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้ระยะหนึ่ง และมักเสียชีวิตด้วยภาวะติดเชื้อ (เช่น ปอดอักเสบ) แทรกซ้อน


การดูแลตนเอง

หากได้รับบาดเจ็บรุนแรงตรงบริเวณคอหรือหลัง ควรทำการปฐมพยาบาลและรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

เมื่อได้รับการรักษาจนสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    กินยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ฝึกทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์/นักกายภาพบำบัด
    ในกรณีที่นอนติดเตียง ควรใช้ที่นอนที่ลดแรงกดทับ (เช่น ที่นอนน้ำ ที่นอนลม) และผู้ดูแลควรทำการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันแผลกดทับ
    ระมัดระวังในการป้อนอาหารแก่ผู้ป่วย อย่าให้สำลัก
    ถ้ามีสายสวนปัสสาวะ หรือสายป้อนอาหาร (ที่ใส่ผ่านจมูกเข้าไปที่กระเพาะอาหาร) ควรดูแลให้สะอาดปลอดภัยตามตามคำแนะนำของแพทย์/พยาบาล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หนาวสั่น ท้องเดิน หรืออาเจียน
    ปวดศีรษะรุนแรง สับสน ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว หรือหายใจหอบหรือลำบาก
    กินอาหาร หรือดื่มน้ำได้น้อย
    มีแผลกดทับเกิดขึ้น
    ยาหายหรือขาดยา
    มีอาการสงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม เหนื่อยหอบ หรือหายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
    มีความวิตกกังวล

การปฐมพยาบาลสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่คอและหลัง

1. ถ้าผู้ป่วยหายใจไม่ได้เนื่องจากไขสันหลังส่วนคอได้รับบาดเจ็บ ให้ทำการผายปอดด้วยการเป่าปากจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล

2. ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ควรกระทำดังนี้

    ห้ามยก แบก หรือหามผู้ป่วยโดยตรง อาจทำให้ไขสันหลังได้รับอันตรายมากยิ่งขึ้น
    พยายามให้ผู้ป่วยนอนราบ ให้ศีรษะ คอ และลำตัว ตั้งอยู่ในแนวตรงกันเสมอ ถ้าจำเป็นต้องขยับตัวผู้ป่วยให้ใช้ผู้ช่วยอย่างน้อย 3 คน ขยับศีรษะ คอ ลำตัวไปพร้อม ๆ กัน โดยพยายามให้ทุกส่วนอยู่ในแนวที่ตรงกัน (อย่าให้บิดเบี้ยว)
    เคลื่อนย้ายผู้ป่วย โดยให้ผู้ป่วยนอนหงายบนแผ่นกระดานแข็ง ๆ (เช่น โต๊ะ บานประตู) พันตัวผู้ป่วยไว้กับแผ่นกระดาน เพื่อป้องกันมิให้ผู้ป่วยพลิกตัว
    ถ้าสงสัยกระดูกต้นคอหัก ควรใช้กระดาษแข็ง หนังสือพิมพ์ หรือผ้าพับม้วนเป็นทบแล้วสอดเข้าใต้คอผู้ป่วย ทำเป็นปลอกคอใส่ไว้ เพื่อป้องกันมิให้คอขยับเขยื้อนเกิดอันตรายได้ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยให้นอนหงายบนแผ่นกระดานแข็ง และวางถุงทรายหรืออิฐขนาบระหว่างคอผู้ป่วยเพื่อมิให้ผู้ป่วยเอี้ยวหรือบิดคอ

การป้องกัน

การป้องกันไม่ให้ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บที่สำคัญก็คือ การป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุจราจร และการตกจากที่สูง

ข้อแนะนำ

1. เมื่อพบผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บตรงบริเวณคอหรือหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสงสัยอาจมีกระดูกคอหรือกระดูกหลังหัก หรือไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือน ควรระมัดระวังในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อป้องกันมิให้ไขสันหลังได้รับอันตรายมากขึ้น

2. ผู้ป่วยไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ มักได้รับการรักษาจนปลอดภัย แต่อาจมีความพิการ เดินไม่ได้ ซึ่งผู้ป่วยมักมีความรู้สึกท้อแท้ ซึมเศร้า ควรให้การดูแลปัญหาด้านจิตใจควบคู่กับด้านร่างกายพร้อม ๆ กันไป หาทางปลอบขวัญและให้กำลังใจ รวมทั้งเปิดโอกาสให้พบปะแลกเปลี่ยนกับกลุ่มผู้ป่วยแบบเดียวกัน (กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน) เพื่อให้การช่วยเหลือและส่งเสริมกำลังใจซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังมีสติปัญญา และมือ 2 ข้างเป็นปกติดี สามารถนั่งรถเข็นหรือขับรถเดินทางไปไหนมาไหน ทำงานด้วยมือ 2 ข้าง มีอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีได้

13
ดอกบัวในโถแก้ว: บัวหลวงมีประโยชน์อย่างไร

บัวหลวง (Nelumbo nucifera) ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ราชินีแห่งไม้น้ำ" ไม่เพียงเพราะความงามและความหมายทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยประโยชน์หลากหลายตั้งแต่รากจรดดอก ทั้งในด้านอาหาร ยา และการใช้ประโยชน์อื่นๆ ดังนี้ครับ


1. ด้านอาหาร
บัวหลวงสามารถนำมาประกอบอาหารได้แทบทุกส่วน:

เมล็ดบัว:

เม็ดบัวสด: รสชาติหวานมัน กรอบ นิยมนำมาทานเล่น หรือใช้เป็นส่วนประกอบในขนมหวานต่างๆ เช่น บัวลอยเม็ดบัว, สาคูเม็ดบัว

เม็ดบัวแห้ง: สามารถนำมาต้มทำเป็นน้ำเม็ดบัวแก้ร้อนใน นำไปทำเป็นไส้ขนม หรือใช้ในอาหารคาว เช่น ใส่ในกระเพาะปลา ต้มตุ๋นยาจีน

แป้งเม็ดบัว: สามารถนำมาทำเป็นแป้งสำหรับประกอบอาหารได้

เหง้าบัว (รากบัว):

มีลักษณะเป็นปล้องๆ รสชาติหวานเล็กน้อย มีใยอาหารสูง

นิยมนำมาทำอาหารคาวหวาน เช่น เหง้าบัวต้มกระดูกหมู, รากบัวเชื่อม, น้ำรากบัว

สามารถนำมาหั่นเป็นแผ่น ทอดกรอบเป็นขนมขบเคี้ยวได้

สายบัว:

คือส่วนที่เป็นก้านใบอ่อน มีลักษณะเป็นเส้นยาวๆ

นิยมนำมาประกอบอาหารคาว เช่น แกงส้มสายบัว, ต้มกะทิสายบัว

กลีบดอก:

กลีบดอกบัวที่สด สามารถนำมาห่อเมี่ยงคำ (เมี่ยงกลีบบัว) แทนใบชะพลูได้ หรือใช้ตกแต่งอาหาร

ใบอ่อน:

สามารถนำมารับประทานเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก หรือนำมาห่อข้าว (ข้าวห่อใบบัว) ให้กลิ่นหอม


2. ด้านสมุนไพรและยา (สรรพคุณทางยา)
บัวหลวงมีสรรพคุณทางยาในหลายส่วน และถูกนำไปใช้ในตำรับยาแผนไทยมาอย่างยาวนาน:

เกสรบัวหลวง:

บำรุงหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต: ช่วยบำรุงหัวใจ ชูกำลัง ทำให้ชื่นใจ ขยายหลอดเลือดหัวใจ และลดความดันโลหิต

บำรุงระบบประสาทและผ่อนคลายความเครียด: มีฤทธิ์ช่วยให้จิตใจสงบ ลดอาการนอนไม่หลับ ลดความวิตกกังวล และช่วยบำรุงสมอง

ขับเสมหะ: ช่วยขับเสมหะ

ยาหอม: เป็นส่วนประกอบสำคัญในตำรับยาหอมหลายชนิด เช่น ยาหอมเทพจิตร, ยาหอมทิพโอสถ ซึ่งใช้แก้หน้ามืด ตาลาย วิงเวียน คลื่นไส้

ดอก (กลีบดอก):

ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงครรภ์ ทำให้คลอดลูกง่าย

แก้ไข้ แก้เสมหะ และโลหิต

มีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมาน ใช้แก้ท้องร่วง

ดีบัว (ต้นอ่อนในเมล็ดบัว):

มีรสขม ช่วยบำรุงหัวใจ แก้เส้นโลหิตตีบในหัวใจ

ช่วยในการนอนหลับ ทำให้หลับสบาย

เหง้าบัว (รากบัว):

มีฤทธิ์เย็น ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดไข้ แก้เสมหะ

ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย

มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย และบำรุงสมอง ลดความเสี่ยงอัลไซเมอร์

ช่วยในการย่อยอาหาร ลดอาการเกร็งของลำไส้

ใบ:

ใบอ่อน: ช่วยบำรุงร่างกายให้ชุ่มชื้น

ใบแก่: ช่วยบำรุงโลหิต แก้ไข้ แก้ริดสีดวงจมูก

เปลือกฝัก:

ช่วยสมานแผลในมดลูก และแก้ท้องเดิน

เปลือกหุ้มเมล็ด:

ช่วยคุมธาตุ สมานแผล และแก้ท้องร่วง


3. ด้านอื่นๆ
การประดับและศาสนา: ดอกบัวหลวงเป็นดอกไม้ที่สวยงามและมีความหมายทางศาสนาอย่างยิ่ง จึงนิยมนำไปประดับตกแต่งสถานที่ และใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยเฉพาะการถวายบูชาพระ

สิ่งทอ: ก้านบัวหลวงสามารถนำมาแปรรูปเป็นเส้นใยสำหรับผลิตสิ่งทอได้

เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์: สารสกัดจากบัวหลวงบางส่วนอาจนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ เช่น น้ำมันเกสรบัว

บัวหลวงจึงเป็นพืชที่มีประโยชน์ครบวงจร ตั้งแต่ส่วนที่เป็นอาหาร ยา ไปจนถึงการใช้งานอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีคุณค่าอย่างมากครับ

14
จัดฟันบางนา: การฝังรากฟันเทียม ไม่เหมาะสมกับใคร

จากอดีตสู่ปัจจุบัน นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางด้านทันตกรรม เติบโตรวดเร็วอย่างกับก้าวกระโดด เนื่องจากว่าประชากรโลกในปัจจุบันให้ความสนใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี และเล็งเห็นถึงปัญหาภัยร้ายในช่องปากที่เป็นอันตรายเพิ่มมากขึ้น

ภัยร้ายอย่างหนึ่งที่หลายท่านอาจมองข้ามและส่งผลรุนแรง นั่นคือการที่ท่านสูญเสียฟันจริงตามธรรมชาติไป และไม่รีบทำการรักษา อาจจะส่งผลให้ท่านเกิดปัญหาฟันซี่อื่นๆล้มได้ หากว่าสูญเสียฟันหน้าก็ส่งผลเรื่องบุคลิกภาพอย่างชัดเจน ทำให้ท่านไม่กล้าที่จะพูดคุย หรือยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ และบางท่านอาจจะมีปัญหาเรื่องการออกเสียงได้อีกด้วย

ส่วนการรักษาอาการสูญเสียฟันจริงนั้น ทันตแพทย์มักจะแนะนำให้ใส่ฟันปลอม ซึ่งฟันปลอมนั้นมีหลายรูปแบบให้เลือกมากมาย แต่ในขณะนี้ที่ดีที่สุด ที่ทันตแพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับว่ามีความรู้สึกเหมือนฟันจริงที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น การทำรากฟันเทียมและครอบฟัน

ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าหลายๆท่านอาจจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า การทำรากฟันเทียมคืออะไร แต่น้อยคนที่อาจจะทราบว่าข้อจำกัดของการทำรากฟันเทียมนั้นมีอะไรบ้าง โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำมากมาย จะขอมาไขข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับข้อจำกัดในการทำรากฟันเทียมมาฝาก โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ข้อดี การทำรากฟันเทียม ?

– ช่วยเพิ่มความมั่นใจ และคุณภาพชีวิต

– ได้ฟันเทียมที่ใกล้เคียงกับฟันแท้ตามธรรมชาติมากที่สุด

– ไม่ต้องเสียเนื้อฟันดีข้างเคียงจากการตกแต่ง

– สามารถบดเคียวได้ดีกว่าฟันปลอมแบบอื่นๆ

– ไม่มีปัญหาเรื่องการออกเสียงในระยะต้น เหมือนฟันปลอมรูปแบบอื่น

– สวมใส่สบาย กระชับ ไม่รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมแบบฟันเทียมชนิดอื่นๆ

– ป้องกันการสูญเสียฟันข้างเคียง

– ฟันเทียมสวยงามเป็นธรรมชาติ ทั้งสีและรูปทรง

– ช่วยเสริมสร้างสุขภาพช่องปาก

– มีความคงทนแข็งแรงกว่าฟันเทียมรูปแบบอื่นๆ

– หมดปัญหาเรื่องฟันปลอมเคลื่อนในขณะรับประทานอาหาร หรือขณะพูดคุย


ผู้ที่ “ไม่สามารถ” ทำรากฟันเทียมได้ ?

จากการศึกษาและวิจัยมากมายเพื่อหาจุดอ่อนและจุดแข็งของการทำรากฟันเทียม ก็ได้ทราบว่าการทำรากฟันเทียมนั้นสามารถทำได้ทุกคนโดยที่ไม่มีกำหนดช่วงอายุ แต่ถึงอย่างไรก็ตามทันตแพทย์จะไม่แนะนำให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีทำรากฟันเทียม เนื่องจากว่ากระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จึงยังมีการเคลื่อนที่บีบตัวอยู่เสมอ อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาได้หากว่าทำการฝังรากฟันเทียม และรากฟันเทียมกลับไม่ถูกเคลื่อนย้ายไปตามธรรมชาติของช่วงวัย สำหรับสตรีมีครรภ์อันนี้เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าโดยส่วนใหญ่ทันตแพทย์จะไม่แนะนำให้สตรีมีครรภ์ทำการรักษาเกี่ยวกับทันตกรรม เพราะอาจจะส่งผลต่อสภาวะจิตใจ

รวมถึงสภาวะร่างกายที่ไม่พร้อม และอาจจะส่งผลต่อเด้กในครรภ์ได้อีกด้วย จึงมีความเสี่ยงสูงโดยส่วนใหญ่แล้วทันตแพทย์จะแนะนำให้ทำการคลอดบุตรก่อนแล้วจึงค่อยมาทำการรักษาทางทันตกรรม หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้ ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ต้องรับการฉายรังสีบริเวณใบหน้าหรือขากรรไกร ผู้ป่วยที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบรุนแรง ผู้ป่วยลูคิเมีย ผู้ป่วยไฮเปอร์ไทรอยด์ควรได้รับการรักษาก่อนถึงจะสามารถฝังรากฟันเทียมได้ และสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือสูบบุหรี่จัด ต้องทำใจเพราะจะมีผลต่อความสำเร็จในการฝังรากฟันเทียม ซึ่งต้องบอกเลยว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะทำสำเร็จ ส่วนทางด้านผู้ป่วยที่มีอาการจิตเภท ผู้ป่วยที่มีอาการไขข้ออักเสบรุนแรง หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ไม่สามารถที่จะดูแลสุขภาพช่องปากเองได้ ในกลุ่มนี้ไม่ควรทำการฝังรากฟันเทียมเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งหมดนี้ที่กล่าวมา คือ กลุ่มคนที่ทันตแพทย์จะไม่แนะนำให้ทำการฝังรากฟันเทียม โดยหากว่าท่านที่จะทำการฝังรากฟันเทียมแต่มีความเสี่ยงอยู่ในกลุ่มเหล่านี้ที่กล่าวมาให้ทำการปรึกษาหรือบอกกล่าวกับทันตแพทย์ เพื่อไม่ให้เกิดความล้มเหลวหรืออันตรายในระยะยาวนั่นเอง

15
สัญญาณบ่งบอกว่าตัวกรองท่อลมร้อนควรเปลี่ยน

การเปลี่ยนตัวกรองท่อลมร้อนเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ต่างๆ หากปล่อยให้ตัวกรองสกปรก อาจส่งผลต่อคุณภาพอากาศภายในโรงงานและประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรได้

สัญญาณบ่งบอกว่าตัวกรองท่อลมร้อนควรเปลี่ยน:

ประสิทธิภาพในการดูดอากาศลดลง:

อากาศไม่สะอาด: อากาศภายในโรงงานยังคงมีฝุ่นละอองหรือกลิ่นเหม็น แม้ว่าระบบจะทำงานอยู่
อุณหภูมิสูง: อุณหภูมิภายในโรงงานสูงกว่าปกติ แม้ว่าระบบทำความเย็นจะทำงานอยู่
ความชื้นสูง: ความชื้นในอากาศสูงกว่าปกติ ทำให้เกิดปัญหาเชื้อราหรือรา

เสียงผิดปกติ:

เสียงดังผิดปกติ: เสียงดังผิดปกติจากพัดลมหรือมอเตอร์ อาจเป็นสัญญาณของการสึกหรอหรือชำรุดของชิ้นส่วน
เสียงสั่นสะเทือน: เสียงสั่นสะเทือนอาจเกิดจากการไม่สมดุลของใบพัด หรือปัญหาที่มอเตอร์

กลิ่นเหม็น:

กลิ่นไหม้: เกิดจากมอเตอร์ร้อนเกินไป หรือมีส่วนประกอบของระบบเกิดการไหม้
กลิ่นสารเคมี: หากมีการรั่วซึมของสารเคมี อาจทำให้เกิดกลิ่นเหม็นผิดปกติ

การสั่นสะเทือน:

ท่อสั่น: ท่อสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอาจเกิดจากการติดตั้งไม่แน่นหนา หรือมีวัตถุมากระทบ
มอเตอร์สั่น: มอเตอร์สั่นสะเทือนอาจเกิดจากปัญหาที่ตลับลูกปืน หรือการไม่สมดุลของใบพัด

การรั่วซึม:

รอยรั่ว: ตรวจสอบข้อต่อต่างๆ หากพบรอยรั่ว อาจทำให้ประสิทธิภาพในการดูดอากาศลดลง และอาจเกิดการรั่วไหลของสารเคมี
น้ำรั่ว: หากมีน้ำรั่ว อาจเกิดจากท่อรั่ว หรือระบบระบายน้ำเสีย

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงขึ้น:

ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น: หากระบบทำงานหนักเกินไป หรือมีการรั่วซึม อาจทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น
ค่าบำรุงรักษาสูงขึ้น: หากปล่อยปละละเลยไม่บำรุงรักษา อาจเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นในภายหลัง และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสูงขึ้น

สาเหตุที่ทำให้ตัวกรองอุดตัน
ฝุ่นละออง: ฝุ่นละอองในอากาศจะค่อยๆ สะสมตัวบนตัวกรอง ทำให้ช่องว่างในการผ่านของอากาศลดลง
ละอองน้ำมัน: ละอองน้ำมันจากเครื่องจักรจะเกาะติดบนตัวกรอง ทำให้ประสิทธิภาพในการกรองลดลง
เส้นใย: เส้นใยจากวัสดุต่างๆ เช่น ผ้า หรือกระดาษ อาจติดอยู่บนตัวกรอง
หากพบสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบทำความสะอาดหรือเปลี่ยนตัวกรองใหม่โดยเร็วที่สุด

การบำรุงรักษาตัวกรองเป็นประจำจะช่วยให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ต่างๆ

หน้า: [1] 2 3 ... 36






















































อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
ไม่รู้จะขายอะไรดี

เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี

กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
ทำ SEO ติด Google
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี
วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด

โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย